ผสมน้ำส้มสายชู 1 ส่วน เข้ากับน้ำเปล่า 1 ส่วน 2. ใช้แปรงสีฟันเก่าจุ่มและขัดบนบริเวณที่มีกลิ่นเหม็น 3. นำไปซักทำความสะอาดอีกครั้ง ถ้าอยากให้มีกลิ่นหอมพร้อมกำจัดเชื้อแบคทีเรียไปในตัว 1. ผสมน้ำเปล่า ½ ถ้วยตวง น้ำส้มสายชู ½ ถ้วยตวง เบกกิ้งโซดา 1 ช้อนโต๊ะ และน้ำชามันชา 2-3 หยดเข้าด้วยกัน 2. คนจนละลายแล้วเทลงไปในขวดสเปรย์ 3. กลับตะเข็บเสื้อผ้าแล้วนำไปสเปรย์ฉีดพรมให้ทั่ว 4. หลังจากนั้นก็ปล่อยทิ้งไว้สักครู่หรือสัก 15 นาที เสร็จแล้วนำไปซักทำความสะอาดและตากแดดให้แห้งแบบปกติ 4. เบกกิ้งโซดา ใช้ล้างผักได้ดีแล้ว ยังนำมาดับกลิ่นผ้าได้ดีอีกด้วย 1. ผสมเบกกิ้งโซดากับน้ำเปล่าอย่างละครึ่ง 2. คนส่วนผสมให้ข้นเหนียว 3. กลับตะเข็บเสื้อผ้าเอาด้านในออก 4. ป้ายเบกกิ้งโซดาลงไปบนบริเวณที่มีกลิ่นเหงื่อสะสม เช่น ใต้แขนเสื้อหรือคอเสื้อ 5. ปล่อยทิ้งไว้อย่างน้อย 15-30 นาที หรือข้ามคืน 6. นำไปซักตามปกติ เบกกิ้งโซดาก็จะช่วยดูดกลิ่นออกไป แถมไม่ทำให้เนื้อผ้าเสียหายอีกต่างหาก 5. น้ำยาล้างจาน ไม่ใช่แค่ทำความสะอาดจาน แต่น้ำยาล้างจานยังสามารถทำความสะอาดกลิ่นเหงื่อติดเสื้อได้ด้วย ขั้นตอนดังนี้คือ 1. ใช้น้ำอุ่นประมาณ 3-4 ถ้วยตวง ผสมเข้ากับน้ำยาล้างจาน 1 ช้อนชา 2.
ใช้ผลิตภัณฑ์กำจัดแบคทีเรีย หนึ่งในสาเหตุที่ทำให้กลิ่นเหงื่อบนเสื้อไม่หายไปซักที อาจมาจากการใช้ผลิตภัณฑ์ซักผ้าที่ไม่เหมาะกับพฤติกรรม หากเป็นคนชอบออกกำลังกาย ต้องทำกิจกรรมกลางแจ้งบ่อย ๆ หรือเป็นคนที่มีเหงื่อออกเยอะอยู่แล้ว ไม่ค่อยมีเวลาซักผ้า ถอดแล้วต้องใส่ตะกร้าทิ้งไว้หลายวัน ลองเปลี่ยนจากผลิตภัณฑ์ซักผ้าธรรมดา เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารแอนตี้แบคทีเรีย กลิ่นเหงื่อของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดังนั้นการใช้วิธีกำจัดกลิ่นเหงื่ออาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมและความชอบของกลิ่นแต่ละบุคคล cr. มีอาการเมื่อยล้าอ่อนเพลียง่าย ปวดเมื่อยตามร่างกาย นอนไม่ค่อยหลับ ภูมิต้านทานน้อย เส้นเลือดตีบ แนะนำ.. โปร-เอ็กบี Pro-xB.. สกัดจากธรรมชาติ เห็นผลดีขึ้นตั้งแต่สัปดาห์แรก.. ผู้ที่เป็นเบาหวาน ความดัน ทานได้..