คอลัมน์ HR Corner โดย ธำรงศักดิ์ คงคาสวัสดิ์ 5. ในตารางที่ 2 ผมลองคำนวณหาอัตราเงินเดือนเริ่มต้นตามคุณวุฒิต่างๆ โดยกำหนดสมมุติฐานใหม่คือ 5. 1. เดิมอัตราเงินเดือนเริ่มต้นตามคุณวุฒิ ปวช. (11, 000) ห่างจากอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ (9, 750) อยู่ 13 เปอร์เซ็นต์ ผมจึงใช้เปอร์เซ็นต์ความห่างนี้คูณอัตราค่าจ้างขั้นต่ำใหม่คือเดือนละ 12, 750*13% จะได้เงินเดือน ปวช. อัตราใหม่คือ 14, 408 บาท ซึ่งจะทำให้เงินเดือนของ ปวช. จบใหม่เพิ่มขึ้นจากอัตราเดิม (ที่ 11, 000 บาท) ประมาณ 31 เปอร์เซ็นต์ 5. 2. เดิมอัตราเงินเดือนเริ่มต้นตามคุณวุฒิ ปวส. (13, 000) ห่างจากอัตราเงินเดือน ปวช. (11, 000) อยู่ 18 เปอร์เซ็นต์ ผมจึงใช้เปอร์เซ็นต์ความห่างนี้คูณอัตราเงินเดือน ปวช. ใหม่คือเดือนละ 14, 408*18% จะได้เงินเดือน ปวส. อัตราใหม่คือ 17, 000 บาท ซึ่งจะทำให้เงินเดือนของ ปวส. จบใหม่เพิ่มขึ้นจากอัตราเดิม (ที่ 13, 000 บาท) ประมาณ 31 เปอร์เซ็นต์ 5. 3. เดิมอัตราเงินเดือนเริ่มต้นตามคุณวุฒิปริญญาตรี (15, 000) ห่างจากอัตราเงินเดือน ปวส. (13, 000) อยู่ 15 เปอร์เซ็นต์ ผมจึงใช้เปอร์เซ็นต์ความห่างนี้คูณอัตราเงินเดือน ปวส. ใหม่คือเดือนละ 17, 000*15% จะได้เงินเดือนปริญญาตรีอัตราใหม่คือ 19, 550 บาท ซึ่งจะทำให้เงินเดือนของปริญญาตรีจบใหม่เพิ่มขึ้นจากอัตราเดิม (ที่ 15, 000 บาท) ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ 6.
7% และประมาณการ CPI ต้นปีก็คือ มกราคม 2563 เท่ากับ 1. 1 ดังนั้น อัตราการขึ้นเงินเดือนที่ควรจะเป็นก็น่าจะประมาณ 4. 8% แต่อย่างไรก็ดี ผมไม่ต้องการให้เชื่อตัวเลขนี้ และเอาตัวเลขนี้ไปใช้เลยนะครับ สิ่งที่ท่านผู้อ่านจะต้องทำต่อก็คือ พิจารณาสิ่งต่อไปนี้ประกอบด้วยครับ คือ อัตราเงินเดือนของบริษัท เทียบกับตลาด ถ้าองค์กรของเรามีการทำสำรวจค่าจ้างทุกปี ก็จะทราบว่า อัตราเงินเดือนของบริษัทเรานั้น เมื่อเทียบกับตลาดแล้ว เราอยู่ห่างแค่ไหนกับตลาด ต่ำกว่า เท่ากับ หรือสูงกว่าตลาด ซึ่งความห่างตรงนี้เองที่จะต้องนำมาพิจารณาประกอบด้วยว่า แล้วปีหน้า เราควรจะกำหนดงบประมาณสักเท่าไหร่ เช่น ถ้าเงินเดือนเฉลี่ยขององค์กรเราต่ำกว่า ตลาด เราก็อาจจะพิจารณางบประมาณการขึ้นเงินเดือนในอัตราที่สูงกว่า 4. 8% ได้ครับ ความสามารถในการจ่ายของบริษัท อีกสิ่งหนึ่งที่ต้องพิจารณาก็คือ สถานะทางการเงิน และความสามารถในการจ่ายของบริษัท ปีหน้า คาดการณ์ว่า บริษัทจะมีรายได้ที่สูงขึ้น เท่าเดิม หรือน่าจะแย่ลง ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นอีกปัจจัยในการพิจารณาเปอร์เซ็นต์การขึ้นเงินเดือนเช่นกัน เมื่อเห็นตัวเลขประมาณการแบบนี้แล้ว ก็น่าจะพอเป็นแนวทางให้กับฝ่ายบุคคลของบริษัท ในการนำไปกำหนดและเสนองบประมาณการขึ้นเงินเดือนในปีถัดไปนะครับ
หัวหน้าส่วนราชการหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย จ้างเอกชนดำเนินงานเฉพาะโครงการ หรือเฉพาะครั้งคราวที่มีความจำเป็นเพื่อเสริมการปฏิบัติงานในหน้าที่ปกติ โดยไม่จำต้องทำข้อตกลงการจ้าง หรือสัญญาการจ้างเต็มปีงบประมาณ และมิให้ทำข้อตกลงการจ้างหรือสัญญาการจ้างในลักษณะต่อเนื่อง ๒. ลักษณะงานที่จ้างควรเป็นงานที่ส่วนราชการซื้อบริการจากผู้รับจ้างเป็นรายชิ้น เช่น งานรักษาความปลอดภัย งานทำความสะอาด งานดูแลต้นไม้ สนามหญ้าและสวนหย่อม งานยานพาหนะ งานศึกษาวิจัย งานติดตามประเมินผล งานจัดทำคำแปล งานผลิตและพิมพ์เอกสาร งานผลิตสื่อการประชาสัมพันธ์ งานสถิติข้อมูลสารสนเทศ งานพัฒนาระบบข้อมูลสารสนเทศ งานบันทึกข้อมูล งานสำรวจออกแบบและควบคุมการก่อสร้าง งานซ่อมบำรุงยานพาหนะ งานพัฒนาบุคคล งานตรวจสอบและรับรองมาตรฐาน และงานเทคนิคต่าง ๆ ที่เอกชนมีความชำนาญมากกว่า เป็นต้น ๓. การจ้างเหมาเอกชนดำเนินงานให้ถือปฏิบัติตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการพัสดุ พ. ศ. ๒๕๓๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม โดยมีลักษณะมุ่งผลสำเร็จของงานที่ว่าจ้างภายในระยะเวลาที่กำหนดตามข้อตกลงการจ้างหรือสัญญาการจ้างเท่านั้น เอกชนผู้รับจ้างไม่ต้องอยู่ภายใต้ระเบียบข้อบังคับที่ลูกจ้างของส่วนราชการโดยทั่วไปต้องถือปฏิบัติ หากไม่มาปฏิบัติงาน อาจหาผู้อื่นมาทำงานแทนหรือบอกกล่าวล่วงหน้า หากเกิดความเสียหายแก่ทางราชการเนื่องจากการไม่มาทำงาน ส่วนราชการอาจกำหนดค่าปรับสำหรับความเสียหายนั้น ๔.